นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “AWC เป็นเจ้าของโรงแรมรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในกลุ่มโรงแรมระดับ Midscale ขึ้นไป เมื่อพิจารณาจากจำนวนห้องพักทั้งหมดของบริษัทฯ และอสังหาริมทรัพย์ซึ่งบริษัทฯ ได้ตกลงเข้าซื้อตามสัญญาซื้อขายหุ้นปี 2562 ซึ่งสามารถแบ่งได้ออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) โรงแรมกลุ่ม MICE และโรงแรมกลุ่มที่เน้นบริการด้านอาหารและเครื่องดื่ม 2) โรงแรมในเมือง (City Hotel) ในกรุงเทพฯ 3) รีสอร์ตระดับ Luxury นอกกรุงเทพฯ และ 4) โรงแรมอื่นๆ นอกกรุงเทพฯ
นอกเหนือจากโรงแรมที่เรามีในปัจจุบัน ทั้งที่เปิดดำเนินการแล้วและที่อยู่ระหว่างการพัฒนา/ปรับปรุงหรือจะได้รับการปรับปรุง รวม 15 แห่ง มีจำนวนห้องพัก 4,960 ห้อง เรายังมีแผนเข้าซื้อหุ้นในบริษัทผู้เป็นเจ้าของโรงแรมอีกรวม 12 แห่ง โดยมีจำนวนห้องพัก 3,546 ห้อง ซึ่ง 4 โรงแรมที่มีห้องพักรวม 989 ห้อง ได้เปิดดำเนินการแล้วในปัจจุบัน ดังนั้นเราคาดว่าภายในปี 2568 เราจะมีโรงแรมที่เปิดให้บริการทั้งสิ้น 27 โรง และมีจำนวนห้องพักมากถึง 8,506 ห้อง
โรงแรมของ AWC บริหารงานโดยผู้บริหารโรงแรมชั้นนำระดับสากล เช่น Marriott International Inc., ฮิลตัน, บันยันทรี และโอกุระ ซึ่งการมีเครือข่ายพันธมิตรกับผู้บริหารโรงแรมระดับสากลช่วยให้ AWC สามารถเป็นเจ้าของและพัฒนาโรงแรมที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าได้ อีกทั้งช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเครือข่ายโรงแรมของ AWC ผ่านช่องทางการขายและการตลาดระดับสากล ซึ่งรวมถึง Guest Loyalty Program ที่มีสมาชิกมากกว่า 290 ล้านคน”
“นอกเหนือจากการที่ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยเสริมที่สนับสนุนให้ธุรกิจโรงแรมเติบโตอย่างต่อเนื่องแล้ว เครือข่ายที่แข็งแกร่งของกลุ่มทีซีซียังช่วยให้กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการของ AWC มีศักยภาพและความพร้อมที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง AWC พร้อมที่จะต่อยอดความสำเร็จผ่านการพัฒนาโครงการโรงแรมใหม่ๆ ในประเทศไทย และเข้าถึงโอกาสพัฒนาโครงการในพื้นที่มีศักยภาพบนที่ดินครอบครองโดยการสนับสนุนจากกลุ่มบริษัททีซีซี มุ่งเน้นการเป็นผู้บุกเบิกแนวคิดธุรกิจใหม่ผนวกกับการบริหารจัดการแบบมืออาชีพที่มีประสิทธิภาพ เมื่อรวมกับเครือข่ายความร่วมมือกับพันธมิตรระดับสากล จึงช่วยให้ AWC สามารถคัดสรรผู้ประกอบการโรงแรมและแบรนด์ที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับสถานที่และตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป้าหมายมากที่สุด พร้อมศักยภาพการวางตำแหน่งทางการตลาดและกลยุทธ์ที่ชัดเจนจากผู้ประกอบการโรงแรมด้วยเอกลักษณ์ของแบรนด์นั้นๆ โดยเฉพาะในเรื่องของกลยุทธ์ราคาที่สามารถตอบรับความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มเป้าหมายกลุ่มต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ช่วยให้เราเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ พร้อมผลักดันให้บริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต” นางวัลลภากล่าว
นายสเตฟาน ฟานเดน อาวาเล หัวหน้าคณะกลุ่มโรงแรมบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการของ AWC ว่า “สินทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการของเรานั้นมีความหลากหลายและสมดุลในเชิงธุรกิจ โดยสินทรัพย์โรงแรมเกือบทั้งหมดนั้น AWC เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และตั้งอยู่ในทำเลธุรกิจที่สำคัญและแลนด์มาร์กของธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศไทย จึงมีศักยภาพที่จะสร้างรายได้และกระแสเงินสดได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมทั้งสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในระยะยาว
อีกหนึ่งปัจจัยเสริมความแข็งแกร่งของ AWC คือเครือข่ายพันธมิตรของกลุ่มผู้บริหารโรงแรมระดับสากลของ AWC ที่ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงช่องทางการจัดจำหน่ายระดับโลก โดยเฉพาะเรื่องของ Loyalty Program และการมีแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักอย่างดี นำไปสู่โอกาสในการสร้างรายได้และความได้เปรียบทางธุรกิจมากกว่าคู่แข่ง ในขณะเดียวกัน เรายังมีต้นทุนในการพัฒนาและใช้เวลาในการพัฒนาโครงการน้อยกว่า อันเป็นผลมาจาก Economy of Scale และประสบการณ์ของทีมงาน ทั้งหมดนี้นำไปสู่ผลการปฏิบัติงานที่แข็งแกร่งของทุกโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว และศักยภาพในการแข่งขันในธุรกิจโรงแรมและการบริการ พิสูจน์ได้จากรางวัลที่โรงแรมต่างๆ ในเครือ AWC เคยได้รับมากกว่า 50 รางวัล”
สำหรับผลประกอบการสำหรับ 3 เดือนแรกสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 ของโรงแรม 14 แห่ง ที่เปิดให้บริการแล้วของบริษัทฯ รวมถึงโรงแรมที่บริษัทฯ จะได้มาภายหลังจากการเข้าซื้อทรัพย์สินกลุ่ม 3 สร้างรายได้เท่ากับ 2,382 ล้านบาท และมี EBITDA เท่ากับ 941 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการถือเป็นกลุ่มธุรกิจหลักขององค์กร จึงก่อให้เกิดพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลายและสมดุล โดยโรงแรมส่วนใหญ่ในเครือ AWC ทำรายได้เหนือกว่าโรงแรมอื่นๆ ในระดับเดียวกัน ตามดัชนี RevPAR โดยสำหรับ 3 เดือนแรกสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 โดยมีอัตราค่าห้องพักต่อวัน (ADR) ของโรงแรมที่เปิดดำเนินการทั้ง 14 แห่งดังกล่าว อยู่ที่ 5,279 บาท ด้วยอัตราการเข้าพัก 83%
“AWC พร้อมขยายธุรกิจในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการโดยโฟกัสที่การสร้างสรรค์โครงการใหม่ๆ ทั้งโครงการโรงแรมและโครงการมิกซ์ยูส ภายใต้ข้อได้เปรียบทางการแข่งขันในเรื่องความหลากหลายของสินทรัพย์และเครือข่ายที่กว้างขวางและการส่งเสริมซึ่งกันและกันภายใน ecosystem ของกลุ่มทีซีซี อาทิ โครงการ Bangkok Marriott The Asiatique Hotel ที่จะตอบโจทย์ทั้งกลุ่ม MICE และนักท่องเที่ยวทั่วไป และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโครงการ Asiatique ของ AWC อย่างต่อเนื่อง ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งและศักยภาพในการเติบโตของเศรษฐกิจระดับมหภาคและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย AWC จะยังคงเดินหน้าลงทุนในสินทรัพย์ที่เรามีเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจโรงแรมและการบริการของเราอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในอนาคต”
ไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหว ติดตาม Tooktee (ทุกที่) ผ่านโซเชียลมีเดีย